น้ำมันนวด(Massage oil)และ น้ำมันนวดจากไขมันจระเข้(Massage oil from crocodile fat)


น้ำมันนวด(Massage oil)และ
น้ำมันนวดจากไขมันจระเข้(Massage oil from crocodile fat) 



น้ำมันนวด หรือที่เรียกกันว่า มาสสาจออยล์(Massage oil) นั้น เป็นน้ำมันที่มีคุณสมบัติเหมาะสำหรับใช้ในการนวด คลึง วน ทาถู ภายนอกในบริเวณที่ต้องการ ปัจจุบันมีน้ำมันนวดมากมายหลายประเภท สูตรและส่วนประกอบแตกต่างกันไปตามจุดประสงค์ในการใช้งาน  อาทิ สูตรการผสมระหว่างน้ำมันตัวนำ(Carrier oil)กับน้ำมันหอมระเหย(Essential oil) น้ำหอม(Fragrance) หรือสารสกัดสมุนไพร(Herbal extract)ต่างๆ  ข้อดีของการถูนวดนั้นให้คุณประโยชน์ช่วยในเชิงการบรรเทารักษาได้เป็นอย่างดี เพื่อผลการรักษาที่ดีควรเลือกน้ำมันนวดให้มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการใช้งานนั้นๆ  น้ำมันที่มักถูกใช้ในน้ำมันนวด คือ น้ำมันมะกอก(Olive oil)และน้ำมันสวีทอัลมอนด์(Sweet almond oil) แต่ทั้งนี้สามารถเลือกใช้น้ำมันอื่นๆได้เช่นกัน

คุณสมบัติของน้ำมันนวด
น้ำมันนวดที่ดีและเหมาะสมต่อการใช้นวด ควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ แต่อาจปรับเปลี่ยนได้บ้างในบางหัวข้อ

1.ความหนาแน่น(Density) เนื้อของน้ำมันนวดไม่ควรขุ่น หมองทึบ ควรมีความบริสุทธิ์,สะอาด และโดยทั่วไปจะถูกกรองก่อนนำมาใช้

2.ความหนืด (Viscosity) น้ำมันควรมีค่าความหนืดต่ำ สามารถไหลลื่นไปบนผิวหนังได้อย่างดี ไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อม  เมื่อนำมาใช้นวดน้ำมันต้องไหลลื่นไปตามฝ่ามือได้

3.ซึมซาบสู่ผิวในช่วงเวลาที่เหมาะสม น้ำมันนวดที่ดีต้องสามารถซึมผ่านเข้าสู่ชั้นผิวได้ แต่ต้องไม่เร็วจนเกินไป เนื้อน้ำมันต้องสามารถอยู่ค้างบนผิวขณะนวดและซึมซาบผ่านเข้าสู่รูขุมขนหลังจากนั้น
4.ไม่แห้งจนเกินไป น้ำมันบางชนิด อาทิ น้ำมันกัญชา(hemp oil) ที่แห้งเร็วกว่าน้ำมันชนิดอื่นอาจทำให้ผิวแห้งได้ คุณสมบัติดังกล่าวอาจเหมาะสมกับการใช้งานในบางกรณีแต่ไม่เหมาะกับการใช้นวด
5.กลิ่น น้ำมันที่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์มักไม่นิยมนำมาใช้ในการนวด ยกเว้นในบางกรณีที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อกลบกลิ่นไม่พึงประสงค์ในน้ำมันบางชนิดที่มีสาระสำคัญหรือกรดไขมันที่ดีต่อผิว อาจพิจารณาใช้น้ำหอมหรือน้ำมันหอมระเหยเสริมเข้าไปได้

6.ความชุ่มชื้น(Miniaturization) จะเป็นการดีหากน้ำมันนวดที่ใช้สามารถช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นในชั้นผิวและช่วยให้ผิวเนียนนุ่มได้เป็นเวลานาน

7.ความบริสุทธิ์(Purity) คุณภาพและความบริสุทธิ์ของน้ำมันถือว่ามีส่วนสำคัญ โดยทั่วไปนั้นน้ำมันที่ผ่านการกรองแล้วจะให้เนื้อสัมผัสที่ดีเนื่องจากผ่านขั้นตอนถูกทำให้บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น น้ำมันที่ยังไม่บริสุทธิ์จากกระบวนการสกัดเย็นอาจให้ความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะเล็กน้อย ซึ่งควรหลีกเลี่ยงในการนำมาใช้ในน้ำมันนวดยกเว้นกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องนำมาใช้

คุณสมบัติอื่นที่ควรพิจารณาในน้ำมันนวดคือราคาและผลข้างเคียงจากการใช้ โดยทั่วไปการนวดทั้งตัวจะใช้น้ำมันนวดประมาณ 30ml จึงควรมีช่วงราคาที่เหมาะสมและหากน้ำมันนวดใดที่มีผลข้างเคียง การนำมาใช้ หากอ้างอิงจากการใช้ในปริมาณดังกล่าวอาจส่งผลข้างเคียงเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ได้

ทำไมถึงต้องใช้น้ำมันนวด
ถึงแม้การนวดจะสามารถทำได้โดยไม่ใช้น้ำมันแต่อาจส่งผลให้เกิดความยุ่งยาก น้ำมันนวดถูกออกแบบทำขึ้นมาเพื่อลดการเสียดสีระหว่างมือและผิว  ดังนั้นในการนวดทั่วไป(Regular massage),การนวดกล้ามเนื้อระดับลึก(Deep tissue massage) หรือการนวดไคโรแพรคติก (Chiropractic massage) จึงมีการใช้น้ำมันนวดร่วมด้วยเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

ประวัติศาสตร์การนวด
การนวดเป็นวิถีปฏิบัติที่มีมาช้านานตั้งแต่ก่อนยุคสมัยประวัติศาสตร์อารยธรรมโลก โดยพบหลักฐาน ข้อความ ภาพเขียนต่างๆปรากฏในอารยธรรมยุคโบราณหลายประเทศ โดยเฉพาะในยุคสมัยอารยธรรมสำคัญของโลก อาทิ อารยธรรมจีนโบราณ(Ancient Chinese  Civilization ),อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ(Indus Valley Civilization),อารยธรรมเมโสโปเตเมีย(Mesopotamian Civilization),อารยธรรมอียิปต์และกรีกโบราณ(Ancient Egyptian&Greek Civilization)  อ้างอิงจากหลักฐานล่าสุดที่พบในหลุมฝังศพ แพทย์(Tomb of Akmanthor)ในยุคสมัยอียิปต์โบราณ ช่วงประมาณ 2330 BC หรือ 2330 ปีก่อนคริสตศักราช คาดว่าศาสตร์การนวดนั้นเป็นส่วนประกอบสำคัญในวิถีการดูแลสุขภาพของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ

ยุคสมัยจีนโบราณ (Ancient China)กล่าวได้ว่ามีความรู้ความเชี่ยวชาญในศาสตร์การนวดเป็นอย่างมาก โดยพบตำรามากมายเกี่ยวกับศิลปะและเทคนิคในศาสตร์การนวด ผสมผสานร่วมกับหลักการเส้นจุดลมปราณ,การกดจุด(Acupressure)และการฝังเข็ม(Acupuncture)

ในอินเดีย หลักอายุรเวทศาสตร์(Ayurveda)ได้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นอย่างดี การนวดถือเป็นหนึ่งในข้อปฏิบัติประจำวัน อีกทั้งใช้ในการรักษาทางการแพทย์ที่หลากหลาย อาทิ การรักษาโรคผิวหนังด้วยการนวดร่างกายและควบคุมอาหาร ดังที่ปรากฏในตำรา Charak Samhita และ Susruta Samhita

น้ำมันธรรมชาติ(Natural oil)ที่นิยมใช้เป็นน้ำมันนวด

1.น้ำมันสวีทอัลมอนด์(Sweet Almond oil) ให้กลิ่นหอมหวานเล็กน้อยจากเมล็ดสวีทอัลมอนด์ เป็นน้ำมันที่ได้รับความนิยมอย่างมากในน้ำมันนวด เมล็ดสวีทอัลมอนด์มีคุณลักษณะตามแบบที่น้ำมันนวดควรมี ไหลลื่นกระจายตัวบนผิวได้ดี ไม่ซึมซาบเข้าสู่ผิวเร็วเกินไปและน้ำมันยังคงความชุ่มชื้นในชั้นผิวต่อเนื่องเป็นเวลานาน เนื้อเบาและสีสว่าง ข้อเด่นอย่างหนึ่งคือเหมาะกับการใช้นวดด้วยมือเป็นอย่างยิ่งช่วยให้เกิดความลื่นไหลระหว่างมือที่ใช้นวดกับผิว

2.น้ำมันมะกอก(Olive oil) เป็นที่รู้จักในด้าน น้ำมันนวดเด็กทารก แต่ก็สามารถใช้ในผู้ใหญ่ได้ด้วยเช่นกัน น้ำมันมะกอกเป็นน้ำมันนวดที่ดีช่วยให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่น น้ำมันมะกอกถูกใช้ในแถบเมดิเตอร์เรเนียนมาเป็นระยะเวลานานตั้งแต่สมัยโบราณทั้งในคนวัยหนุ่มสาวและวัยชรา การนวดทั่วไปที่ใช้น้ำมันมะกอกร่วมด้วยช่วยให้ผิวพรรณอ่อนเยาว์และเปล่งประกาย อีกทั้งช่วยให้ผิวมีสีแทนได้เล็กน้อยในบางครั้ง

3.น้ำมันมะพร้าว(Coconut oil) เป็นหนึ่งในน้ำมันที่ได้รับความนิยมอย่างมากและเป็นตัวเลือกที่ดีต่อการใช้นวด น้ำมันมะพร้าวทั่วไปจะแข็งตัวเป็นไขในอากาศเย็น แต่สามารถอุ่นร้อนและใช้ทาบนผิวได้ น้ำมันมะพร้าวใสไม่มีสี เนื้อบางเบาและซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างดีเยี่ยม น้ำมันมะพร้าวเป็นที่นิยมอย่างมากในบริเวณเขตร้อนแถบชายฝั่ง

4.น้ำมันเมล็ดองุ่น(Grapeseed oil)
มีราคาค่อนข้างสูงกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ และเหมาะสมต่อการใช้เป็นน้ำมันนวดที่ดี เนื้อบางเบา เนียนนุ่มต่อผิวอีกทั้งอุดมด้วยสารอาหารสำคัญมากมายที่มีคุณประโยชน์ในการบำรุงผิว รวมทั้งกรดไลโนเลอิก(Linoleic acid)ในปริมาณสูง ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้เซลล์ผิวหนัง ลดอาการแห้งกร้าน แตกขุย ลดริ้วรอยต่างๆ บรรเทาอาการทางผิวหนังบางชนิดและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(antioxidants)

5.น้ำมันงา(Sesame oil)
สกัดจากเมล็ดงาและมีคุณค่าอย่างสูงในทางอายุรเวท (Ayurveda) ตามหลักตำราอายุรเวทเก่าแก่ Charak Samhita ถือว่าน้ำมันงาเป็นน้ำมันที่ดีที่สุดต่อร่างกายมนุษย์  อุดมด้วยสารอาหารสำคัญ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย บำรุงกระดูก กล้ามเนื้อและเส้นเอ็น ในทางอายุรเวทแนะนำให้นวดร่างกายของตนเองด้วยน้ำมันงาเป็นประจำทุกวัน เรียกว่า “Abhyaga” นวดผิวภายนอกด้วยน้ำมันอุ่น

6.น้ำมันโจโจ้บา หรือ โจโจ้บาออยล์(Jojoba oil)
เหมาะสมอย่างมากสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังและสิว น้ำมันโจโจ้บามีคุณสมบัติใกล้เคียงกับซีบัม(Sebum) น้ำมันบนผิวหนังตามธรรมชาติของมนุษย์ ไม่เหนียวเหนอะหนะและเหมาะต่อการนำมาใช้นวด ไม่อุดตันรูขุมขนจึงลดความเสี่ยงในการเกิดสิวจากรูขุมขนอักเสบหรืออุดตัน

7.น้ำมันแอปริคอท (Apricot Kernel oil) มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันอัลมอนด์แต่มีราคาสูงกว่า

8.น้ำมันเมล็ดทานตะวัน(Sunflower oil) มีราคาถูกกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆที่ใช้สำหรับนวด ไหลลื่นบนผิวได้ดี เนื้อหนาปานกลาง เหมาะสำหรับสร้างแรงดึงกับฝ่ามือจึงเหมาะกับการนวดไคโรแพรคติก (chiropractic massage)

9.น้ำมันจมูกข้าว(Wheat Germ oil) สกัดจากจมูกข้าว เนื้อหนาและข้นหนืด ไม่เหมาะเป็นสื่อนำไปการนวดแต่การใช้ผสมร่วมกับน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันเมล็ดองุ่นจะช่วยปรับให้มีความเหมาะสมในการใช้เป็นน้ำมันนวดได้ดีขึ้น น้ำมันจมูกข้าวมักใช้ควบคู่กับน้ำมันโรสฮิป(Rosehip seed oil)

10.น้ำมันมัสตาร์ด(Mustard oil) ใช้เป็นน้ำมันนวดได้ แม้มีกลิ่นฉุนแรงแต่ได้รับความนิยมใช้มากในอินเดีย

น้ำมันอื่นๆที่สามารถใช้เป็นน้ำมันนวดได้

§  น้ำมันอโวคาโด(Avocado oil)
เป็นน้ำมันสกัดจากอโวคาโด มีเนื้อหนาและสีออกเหลือง กรณีที่เป็นน้ำมันอโวคาโด Extra virgin จากการเพาะปลูกพิเศษจากอโวคาโด พันธุ์แฮส(Hass) จะมีสีออกเขียวสว่าง โดยน้ำมันดังกล่าวอุดมด้วยคลอโรฟีลล์และแคโรทีนอยด์ น้ำมันอโวคาโดเหมาะกับการใช้นวดหน้า(Face massage) และการทำทรีทเมนต์ด้วยน้ำมันร้อน(Hot oil treatment)

§  น้ำมันกูกุยนัท(Kukui nut oil)
สกัดจากผลกูกุยนัท หรือถั่วกูกุยจากต้นกูกุย พืชประจำชาติในฮาวาย(Hawaii) น้ำมันกูกุยนัท หรือน้ำมันถั่วกูกุยเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า น้ำมันแคนเดิลนัท หรือ แคนเดิลนัทออยล์(Candlenut oil) เนื้อบางเบา มีสีเหลืองอำพันและเป็นสารให้ความชุ่มชื้นได้อย่างดีเยี่ยม

§  น้ำมันจระเข้(Crocodile oil)
สกัดจากเนื้อเยื่อไขมันใต้หนังจระเข้ ปัจจุบันใช้แหล่งไขมันจากจระเข้ 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่จระเข้น้ำเค็มสายพันธุ์ Crocodylus porosus จากออสเตรเลีย,จระเข้ลุ่มแม่น้ำไนล์สายพันธุ์ Crocodylus niloticus จากแอฟริกาใต้หรือจระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ Crocodylus siamnensis จากประเทศไทย

น้ำมันสกัดจากไขมันจระเข้ หรือน้ำมันจระเข้นั้นพบว่าอุดมด้วยกรดไขมันสำคัญมากมาย โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า 3,6,9 วิตามินอีและวิตามินเอ ที่มีคุณประโยชน์ต่อผิว และเนื่องจากองค์ประกอบสารสำคัญในน้ำมันจระเข้ใกล้เคียงกับน้ำมันตามธรรมชาติบนผิวหนังของมนุษย์ จึงก่ออาการแพ้ระคายเคืองได้ต่ำ 

ลักษณะน้ำมันมีเนื้อปานกลางถึงเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ค่าความหนืด(Viscosity)ไม่สูงมากนัก สามารถซึมผ่านเข้าสู่ชั้นผิวได้ดี อ้างอิงผลจากการศึกษาวิจัยพบว่าน้ำมันจระเข้มีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว เยียวยาฟื้นฟูผิว ลดเลือนริ้วรอย บรรเทาอาการผิวแห้งแตก ลอกร่อน ตกสะเก็ด  ผื่นคัน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรีย เร่งสมานบาดแผล ลดสิว ลดอาการผิวอักเสบ ลดอาการแสบร้อนระคายเคืองจากความร้อนและผิวแสบไหม้จากแสงแดด (Sunburn) แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ช่วยลดการเกิดรอยแผลเป็นจากการทดสอบในหนูทดลองที่แผลไหม้ระดับสอง(Second degree burn)

ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว น้ำมันจระเข้จึงสามารถนำมาใช้เป็นน้ำมันนวดได้ถึงแม้จะมีกลิ่นคาวอยู่บ้างเนื่องจากเป็นน้ำมันสกัดจากไขมันสัตว์แต่สามารถแก้ไขปรับปรุงได้ด้วยการปรับลดสัดส่วนผสมกับน้ำมันธรรมชาติอื่นๆที่มีองค์ประกอบใกล้เคียงกัน โดยพบว่ามักถูกใช้ผสมร่วมกับน้ำมันมะพร้าวมากที่สุด หรืออาจใช้ผสมร่วมกับน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นพืชสมุนไพร(Herbal) อาทิ ทีทรีออยล์(Tea Tree oil),เลมอนไทม์(Lemon Thyme essential oil) หรือน้ำมันหอมระเหยที่ให้กลิ่นหอมดอกไม้ อาทิ น้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์(Lavender essential oil) เป็นต้น สำหรับในท้องตลาดปัจจุบันพบว่ามีผลิตภัณฑ์น้ำมันนวดที่มีส่วนผสมจากน้ำมันจระเข้ในสูตรที่หลากหลาย อาทิ น้ำมันนวดสูตรสำหรับใช้ทั่วไป,น้ำมันนวดสูตรร้อน บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกายและข้อเข่า กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด,น้ำมันนวดสูตรแต่งกลิ่นน้ำมันหอมระเหยในทางอโรมาเธอราปีหรือสุคนธบำบัด(Aromatherapy)  เพื่อความผ่อนคลายทั้งร่างกายจิตใจ และน้ำมันนวดสูตรสำหรับผู้ชาย ใช้นวดภายนอกบริเวณอวัยวะเพศเพื่อเพิ่มขยายขนาดองคชาติและชะลอการหลั่งในขณะมีเพศสัมพันธ์


#massageoil #crocodileoil #crocodilefat #น้ำมันนวด #น้ำมันจระเข้นวด #น้ำมันจระเข้ 
#มาสสาจออยล์ #ไขมันจระเข้ 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

5 น้ำมันเพื่อจู๋แข็งแรง

การสกัดน้ำมันสัตว์:การเจียว(Rendering)

น้ำมันจระเข้ คนจีนชอบใช้ แต่ไม่ใช่ทุกจีนที่จะรู้จัก?