น้ำมันจระเข้ เป็นส่วนผสมใหม่ล่ามาแรงในกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว จริงหรือ?
ใครเล่าจะไปคาดคิดว่าวิธีที่จะสามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาสภาพผิวหนังที่เราต่างพบเจอกันได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นอาการผิวแห้ง แตก อาการระคายเคืองทางผิวหนัง ปัญหาสภาพผิวลอก ร่อน แห้งแตก ตกสะเก็ดทั่วไป หรือปัญหาสภาพผิวที่พบในโรคผื่นผิวหนังอักเสบเอ็กซีม่า(Eczema) และโรคสะเก็ดเงิน(Psoriasis) แท้จริงแล้วได้แอบซ่อนอยู่ภายใต้เกล็ดที่ปกคลุมผิวหนังของจระเข้นั่นเอง? ซึ่งเมื่อพิจารณาดูแล้วคุณสมบัติกลับดูค่อนข้างจะขัดแย้งกันกับภาพลักษณ์ของสิ่งที่คาดหมายว่าน่าจะเป็นส่วนผสมที่ทรงประสิทธิภาพในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ทั้งนี้ผลการศึกษาโดยนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนังระดับแนวหน้าของโลกได้แสดงให้เห็นว่า น้ำมันจระเข้สามารถนำมาใช้ในการเยียวยาและแก้ไขสภาพผิวที่ถูกทำลายได้จริง
ไขมันในชั้นผิวของจระเข้นั้น ประกอบไปด้วย สารประกอบจากธรรมชาติที่มีคุณประโยชน์ช่วยบำรุง ฟื้นฟูสภาพผิว ในปริมาณมากอย่างไม่น่าเชื่อ อาทิ
วิตามินอี
สารสำคัญในด้านการต้านอนุมูลอิสระและบำรุงผิว
วิตามินเอ
ฟื้นฟูสภาพผิวและต้านอนุมูลอิสระ
กรดไขมันโอเมก้า 3,6,9
กรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ช่วยให้ความชุ่มชื้นและปลอบปะโลมผิว
โดยในความเป็นจริงนั้น น้ำมันจระเข้ได้ถูกนำมาใช้เป็นระยะเวลานานกว่าหลายร้อยปีมาแล้ว ในเชิงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณและใช้แก้ไขปัญหาสภาพผิว อาการระคายเคืองทางผิวหนัง และอาการติดเชื้อ โดยเฉพาะในโรคผื่นผิวหนังอักเสบเอ็กซีม่า(Eczema) และโรคสะเก็ดเงิน(Psoriasis)
จากบทสัมภาษณ์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ โจชัวร์ ไซชเนอร์ (Joshua Zeichner) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนัง ผู้อำนวยการแผนกเครื่องสำอางและการวิจัยทางด้านผิวหนัง (Cosmetic and Clinical Research in Dermatology) ศูนย์การแพทย์เมาท์ ไซไนน์ (Mount Sinai Medical Center) นิวยอร์ก,ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้ความเห็นในนิตยสารอาลัวร์ (Allure) นิตยสารชั้นนำด้านความงามและแฟชั่นของอเมริกา ในตอนหนึ่งว่า
“เช่นเดียวกับน้ำมันมะพร้าว น้ำมันจระเข้นั้นประกอบไปด้วยการผสมผสานระหว่าง วิตามินบำรุงผิวมากมาย อาทิ วิตามินอี วิตามินเอ และกรดไขมัน ที่มักถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ตามสูตรแบบฉบับดั้งเดิม แต่น้ำมันจระเข้นั้นประกอบไปด้วยกรดไขมันสายยาว(long chain fatty acid)ในปริมาณที่สูงกว่าในน้ำมันมะพร้าว ที่มีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดไขมันสายกลาง(medium-chain fatty acid) โดยกรดไขมันสายยาว ได้แก่ กรดไขมันโอเมก้า 3,6,9 นั้นมีบทบาททางด้านสรีรวิทยาในการควบคุม บำรุงปราการป้องกันชั้นผิวให้มีความแข็งแรง ด้วยเหตุนี้ น้ำมันจระเข้จึงมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาสภาพผิวได้ดีกว่าน้ำมันมะพร้าว”
-------------------------------------------------------------------------
#น้ำมันจระเข้ #จระเข้ #crocosia #crocodileoil #จระเข้ไทย#siamesecrocodile #วัตถุดิบเครื่องสำอาง #ผิวแห้ง #น้ำมันสัตว์ #สกินแคร์#แผลเป็น #จุดด่างดำ #แผลตกสะเก็ด #สิว #รอยแผลเป็น #แผลน้ำร้อนลวก#รับจ้างผลิต #OEM #รับจ้างผลิตเครื่องสำอาง #ทำแบรนด์ครีม #ทำแบรนด์สบู่#ทำแบรนด์เครื่องสำอาง #โรงงานผลิตครีม #โรงงานผลิตเครื่องสำอาง #ส่งออก #ฟาร์มจระเข้ #อุตสาหกรรมจระเข้ #หนังจระเข้ #สมุนไพรหน้าขาว
-------------------------------------------------------------------------
ไขมันในชั้นผิวของจระเข้นั้น ประกอบไปด้วย สารประกอบจากธรรมชาติที่มีคุณประโยชน์ช่วยบำรุง ฟื้นฟูสภาพผิว ในปริมาณมากอย่างไม่น่าเชื่อ อาทิ
วิตามินอี
สารสำคัญในด้านการต้านอนุมูลอิสระและบำรุงผิว
วิตามินเอ
ฟื้นฟูสภาพผิวและต้านอนุมูลอิสระ
กรดไขมันโอเมก้า 3,6,9
กรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ช่วยให้ความชุ่มชื้นและปลอบปะโลมผิว
โดยในความเป็นจริงนั้น น้ำมันจระเข้ได้ถูกนำมาใช้เป็นระยะเวลานานกว่าหลายร้อยปีมาแล้ว ในเชิงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณและใช้แก้ไขปัญหาสภาพผิว อาการระคายเคืองทางผิวหนัง และอาการติดเชื้อ โดยเฉพาะในโรคผื่นผิวหนังอักเสบเอ็กซีม่า(Eczema) และโรคสะเก็ดเงิน(Psoriasis)
จากบทสัมภาษณ์ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ โจชัวร์ ไซชเนอร์ (Joshua Zeichner) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านผิวหนัง ผู้อำนวยการแผนกเครื่องสำอางและการวิจัยทางด้านผิวหนัง (Cosmetic and Clinical Research in Dermatology) ศูนย์การแพทย์เมาท์ ไซไนน์ (Mount Sinai Medical Center) นิวยอร์ก,ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้ความเห็นในนิตยสารอาลัวร์ (Allure) นิตยสารชั้นนำด้านความงามและแฟชั่นของอเมริกา ในตอนหนึ่งว่า
“เช่นเดียวกับน้ำมันมะพร้าว น้ำมันจระเข้นั้นประกอบไปด้วยการผสมผสานระหว่าง วิตามินบำรุงผิวมากมาย อาทิ วิตามินอี วิตามินเอ และกรดไขมัน ที่มักถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ตามสูตรแบบฉบับดั้งเดิม แต่น้ำมันจระเข้นั้นประกอบไปด้วยกรดไขมันสายยาว(long chain fatty acid)ในปริมาณที่สูงกว่าในน้ำมันมะพร้าว ที่มีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดไขมันสายกลาง(medium-chain fatty acid) โดยกรดไขมันสายยาว ได้แก่ กรดไขมันโอเมก้า 3,6,9 นั้นมีบทบาททางด้านสรีรวิทยาในการควบคุม บำรุงปราการป้องกันชั้นผิวให้มีความแข็งแรง ด้วยเหตุนี้ น้ำมันจระเข้จึงมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาสภาพผิวได้ดีกว่าน้ำมันมะพร้าว”
-------------------------------------------------------------------------
#น้ำมันจระเข้ #จระเข้ #crocosia #crocodileoil #จระเข้ไทย#siamesecrocodile #วัตถุดิบเครื่องสำอาง #ผิวแห้ง #น้ำมันสัตว์ #สกินแคร์#แผลเป็น #จุดด่างดำ #แผลตกสะเก็ด #สิว #รอยแผลเป็น #แผลน้ำร้อนลวก#รับจ้างผลิต #OEM #รับจ้างผลิตเครื่องสำอาง #ทำแบรนด์ครีม #ทำแบรนด์สบู่#ทำแบรนด์เครื่องสำอาง #โรงงานผลิตครีม #โรงงานผลิตเครื่องสำอาง #ส่งออก #ฟาร์มจระเข้ #อุตสาหกรรมจระเข้ #หนังจระเข้ #สมุนไพรหน้าขาว
-------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น